บทนำ
ในยุคที่โซเชียลมีเดียถือเป็นหนึ่งในช่องทางหลักในการโปรโมทสินค้า การแชร์ลิงค์ที่ยาว มีพารามิเตอร์เยอะ หรือไม่มีการติดตามผลอย่างชัดเจน อาจทำให้เราเสียโอกาสในการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญและปรับปรุงกลยุทธ์ได้ บทความนี้จะอธิบายถึงการย่อลิงค์ (Link Shortening) สำหรับการโปรโมทสินค้าในโซเชียลมีเดีย พร้อมแนวทางการติดตามผล (Tracking) เพื่อให้ทีมการตลาดสามารถวัดผลลัพธ์ ปรับปรุงแคมเปญ และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เหตุผลที่ควรใช้การย่อลิงค์เมื่อต้องโปรโมทสินค้าในโซเชียลมีเดีย
-
ลดความยาวของ URL ทำให้ดูสะดุดตาและใช้ง่าย
-
โซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์ม เช่น Twitter มีข้อจำกัดจำนวนตัวอักษร ลิงค์ยาวอาจกินพื้นที่และลดโอกาสที่คนจะเห็นข้อความหลัก
-
ลิงค์ที่สั้น กระชับ และอ่านออกว่าเป็นสัญลักษณ์เดียวกันทั้งโพสต์ ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ง่ายต่อการคลิก
-
-
สร้างความน่าเชื่อถือและป้องกันการถูกแบน
-
ลิงค์ยาวที่มีพารามิเตอร์มาก มักถูกมองว่าเป็น “ลิงค์สแปม” ทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบางแห่งกีดกัน หรืออาจทำให้ข้อความถูกแบนได้
-
บริการย่อลิงค์ที่เชื่อถือได้ (เช่น Bitly, Rebrandly, หรือบริการย่อลิงค์ในแบรนด์ของเราเอง) จะช่วยให้ลิงค์ดูเป็นมืออาชีพ และลดความเสี่ยงในการถูกฟิลเตอร์
-
-
ปรับแต่งส่วนท้ายของลิงค์ให้น่าสนใจ (Custom Alias)
-
บริการย่อลิงค์มักเปิดให้ตั้งชื่อส่วนท้าย (เช่น mybrand.co/sale2025) ทำให้ผู้ใช้เห็นว่านี่คือแคมเปญลดราคา หรือเนื้อหาพิเศษเฉพาะ เพิ่มความอยากคลิก
-
Custom Alias ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Recall) เมื่อคนเห็นว่าเป็นชื่อลิงค์ที่คุ้นเคย
-
2. ขั้นตอนและเครื่องมือสำหรับการย่อลิงค์ลิงค์โปรโมทสินค้า
-
เลือกบริการย่อลิงค์ที่ตอบโจทย์
-
บริการสาธารณะ (Public Shortener): เช่น Bitly, TinyURL, Ow.ly
-
ข้อดี: ใช้งานฟรีหรือมีแผนบริการราคาถูก
-
ข้อจำกัด: ไม่สามารถปรับแต่งโดเมนย่อได้ตามแบรนด์เสมอไป
-
-
บริการแบรนด์ (Branded Short Domain): เช่น Rebrandly, BL.INK หรือการตั้งค่าโดเมนย่อของตนเอง (เช่น short.yourbrand.com)
-
ข้อดี: ชื่อโดเมนย่อสื่อถึงแบรนด์ เพิ่มความน่าเชื่อถือ
-
ข้อจำกัด: ต้องลงทะเบียนโดเมนใหม่ และอาจมีค่าใช้จ่ายรายปี
-
-
-
สร้างลิงค์ต้นฉบับที่มีพารามิเตอร์ติดตาม (UTM Parameters)
-
ก่อนดึงไปย่อลิงค์ ควรเติม UTM Parameter เพื่อบอกว่าคลิกมาจากแพลตฟอร์มไหน เช่น
-
เมื่อผสานทั้ง UTM และการย่อลิงค์ จะช่วยให้เราวัดสถิติได้ละเอียดขึ้นว่า Traffic มาจากโพสต์ใด
-
-
ย่อลิงค์ผ่าน Dashboard หรือ API
-
Dashboard:
-
ล็อกอินเข้าแอคเคาต์ของบริการย่อลิงค์
-
วางลิงค์ต้นฉบับ (พร้อม UTM) ในช่อง “Shorten”
-
กดปุ่มย่อ แล้วคัดลอกลิงค์ย่อที่ได้
-
ปรับแต่ง Custom Alias (ถ้าต้องการ)
-
-
API Integration:
-
สำหรับการใช้งานในระดับแคมเปญใหญ่หรือแคตาล็อกสินค้าเยอะ สามารถใช้ API ของบริการย่อลิงค์ (เช่น Bitly API, Rebrandly API) เพื่อย่อลิงค์อัตโนมัติภายในระบบหลังบ้าน (CMS, Marketing Automation, CRM)
-
ตัวอย่าง Bitly API (Pseudo–code):
-
-
3. การติดตามผล (Tracking) เมื่อใช้ลิงค์ย่อลิงค์บนโซเชียลมีเดีย
-
เก็บสถิติพื้นฐานจากบริการย่อลิงค์
-
จำนวนคลิกรวม (Total Clicks)
-
คลิกแยกตามช่วงเวลา (Clicks by Time)
-
แหล่งที่มาของคลิก (Referrer/Source Platform)
-
ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Geolocation)
-
อุปกรณ์ที่ใช้คลิก (Desktop/Mobile)
หมายเหตุ: บริการย่อลิงค์ส่วนใหญ่ แสดงข้อมูลเหล่านี้ในแดชบอร์ด เพื่อให้ผู้ดูแลแคมเปญสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพเบื้องต้นได้
-
-
วิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับ Google Analytics (หรือแพลตฟอร์ม Analytics อื่นๆ)
-
เมื่อเราใช้ UTM Parameter ก่อนย่อลิงค์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง Google Analytics แยกตามแหล่งที่มา (Source), สื่อ (Medium), และแคมเปญ (Campaign)
-
ตัวอย่าง UTM ที่ควรตั้งให้ครบถ้วน:
-
ใน Google Analytics เราจะเห็น Traffic, Bounce Rate, Session Duration รวมถึง Conversion Rate จากแต่ละแหล่งที่มา
-
-
เชื่อมต่อกับ Facebook Pixel และ TikTok Pixel
-
เมื่อลิงค์ย่อลิงค์นำผู้ใช้กลับไปที่หน้า Landing Page ของเราที่ฝัง Pixel ไว้ ระบบจะจับพฤติกรรมผู้ใช้ เช่น ดูสินค้า, Add to Cart, ซื้อเสร็จ (Purchase)
-
ช่วยให้เราวัด ROI จากโฆษณาบน Facebook/Instagram หรือ TikTok อย่างแม่นยำ และใช้ข้อมูลเพื่อทำ Retargeting
-
-
ใช้งาน UTM และ Parameter เฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
-
Facebook Ads:
-
ใช้ UTM เพื่อแยกประเภทโฆษณา (Ads Set, Ads Creative)
-
ติดตั้ง Facebook Pixel เพื่อติดตาม Event ต่าง ๆ (ViewContent, AddToCart, Purchase)
-
-
Instagram Stories/IGTV:
-
ปกติจะใส่ “Swipe Up” ด้วยลิงค์ย่อลิงค์ ซึ่งจะทำให้เราเห็นจำนวนคลิกจาก Stories ได้ชัดเจน
-
-
TikTok Ads:
-
ใช้ TikTok Pixel ร่วมกับ UTM เพื่อวัด Conversion Rate บนหน้าเว็บไซต์
-
-
Line OA หรือ Messenger Ads:
-
สามารถตั้ง UTM ให้บ่งชี้ว่า Traffic มาจาก Line ซึ่งจะแยกข้อมูลใน Google Analytics ได้อัตโนมัติ
-
-
4. แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) สำหรับการย่อลิงค์และการติดตามผล
-
วางแผนตั้งแต่เริ่ม: กำหนด Naming Convention สำหรับ UTM และ Custom Alias
-
สร้างเท็มเพลต UTM ให้ทีมทุกคนใช้ร่วมกัน เช่น
-
กำหนดโครงสร้าง Custom Alias ให้สอดคล้องกับชื่อแคมเปญ เช่น
-
เมื่อตั้งชื่ออย่างมีระบบ จะทำให้วิเคราะห์ผลได้ง่าย และลดข้อผิดพลาดจากการตั้ง UTM ไม่สอดคล้องกัน
-
-
ตรวจสอบความถูกต้องของลิงค์ต้นฉบับก่อนย่อลิงค์
-
ทดสอบคลิกลิงค์ต้นฉบับ (อาจอยู่ในสภาพเดโม) เพื่อเช็กว่าไม่มี 404 Not Found หรือ Redirect ผิดพลาด
-
เมื่อลิงค์ต้นฉบับถูกต้อง จึงนำมาย่อลิงค์ และทดสอบลิงค์ย่ออีกครั้งก่อนแชร์ลงโซเชียลมีเดีย
-
-
เก็บบันทึกข้อมูลลิงค์ย่อ (Short Link Repository)
-
หากมีหลายแคมเปญและหลายช่องทาง ให้จัดเก็บลิงค์ย่อทั้งหมดเป็นฐานข้อมูล (Excel, Google Sheets หรือระบบจัดการแคมเปญ) เพื่ออ้างอิงย้อนหลัง
-
บันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อแคมเปญ, แพลตฟอร์ม, วันที่สร้าง, เป้าหมาย (Landing Page), ผลลัพธ์เบื้องต้น (Clicks, Conversions)
-
-
อัปเดตและจับตาดู Broken Link อย่างสม่ำเสมอ
-
กำหนดให้มีการเช็กสถานะของลิงค์ย่อ (HTTP Status 200) อย่างสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง
-
หากพบว่า Landing Page มีปัญหา หรือสินค้าหมดสต็อก ให้ Redirect ไปยังหน้าอื่นที่เหมาะสม เช่น หน้าแคตาล็อก หรือหน้าขอบคุณ (Thank You Page)
-
-
วิเคราะห์ผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Iterative Optimization)
-
เปรียบเทียบ CTR ของแต่ละแพลตฟอร์ม (Facebook, Instagram, TikTok, Twitter) เพื่อดูว่าแพลตฟอร์มไหนมีประสิทธิภาพสูงสุด
-
วิเคราะห์ Conversion Rate (ยอดสั่งซื้อ/ยอดคลิก) เพื่อประเมินว่าแพลตฟอร์มใดให้ ROI สูงสุด
-
ใช้ข้อมูล Insights ในโซเชียลมีเดีย (เช่น Facebook Insights, Instagram Insights) ร่วมกับข้อมูลจากบริการย่อลิงค์ เพื่อปรับช่วงเวลาโพสต์ ประเภทคอนเทนต์ กลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ
-
5. ตัวอย่างกรณีศึกษา (Case Study)
-
ร้านเครื่องสำอางออนไลน์ A – แคมเปญโปรโมทลิปสติกใหม่ผ่าน Facebook & Instagram
-
ขั้นตอนการย่อลิงค์และติดตามผล:
-
ตั้งค่า UTM ให้แยกข้อมูล “facebook” หรือ “instagram” และ “spring_lipstick_launch”
-
ย่อลิงค์ต้นฉบับด้วยบริการ Bitly พร้อม Custom Alias:
bit.ly/A_spring_lipstick_fb
และbit.ly/A_spring_lipstick_ig
-
ฝัง Facebook Pixel บนหน้า Landing Page เพื่อเก็บ Event ViewContent, AddToCart, Purchase
-
แชร์ลิงค์ย่อในโพสต์ Facebook Ads และ Instagram Story พร้อม Call-to-Action ชัดเจน
-
-
ผลลัพธ์:
-
Facebook Ads: CTR 3.5%, Conversion Rate 2.8%
-
Instagram Story: Swipe Up คลิก 15,000 ครั้ง, Conversion Rate 3.2%
-
ข้อมูลจาก Bitly ช่วยให้เห็นช่วงเวลา “Peak Click” ช่วงเย็น 18:00–20:00 น. ทีมการตลาดปรับเวลาโพสต์ให้อยู่ในช่วงนี้ ส่งผลให้ CTR พุ่งขึ้นอีก 10% ในสัปดาห์ถัดไป
-
-
-
แบรนด์แฟชั่น B – แคมเปญ Influencer Collaboration บน TikTok
-
ขั้นตอนการย่อลิงค์และติดตามผล:
-
สร้าง UTM Parameter:
utm_source=tiktok&utm_medium=influencer&utm_campaign=sneaker_drop
-
ย่อลิงค์ด้วย Rebrandly:
t.co/B_sneaker_drop_A
(สำหรับ Influencer A) และt.co/B_sneaker_drop_B
(สำหรับ Influencer B) -
Influencer ใส่ลิงค์ย่อใน Bio และ Description ของวิดีโอ
-
ติดตั้ง TikTok Pixel บนหน้าเว็บไซต์ เพื่อเก็บ Event Purchase และ ViewContent
-
-
ผลลัพธ์:
-
Influencer A นำมาซึ่ง Traffic 25,000 คลิกใน 3 วันแรก โดย Conversion Rate อยู่ที่ 4.5%
-
Influencer B ทำได้ 18,000 คลิก Conversion Rate 5.2% (จากกลุ่มผู้ติดตามวัยรุ่นมากขึ้น)
-
ทีมการตลาดวิเคราะห์ข้อมูลและปรับงบประมาณโฆษณา ให้เน้นไปที่กลุ่มผู้ติดตามที่คล้ายกับ Influencer B เพื่อเพิ่มยอดขาย
-
-
6. สรุป
การย่อลิงค์ (Link Shortening) และการติดตามผล (Tracking) เมื่อโปรโมทสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ทีมการตลาดเห็นภาพรวมและรายละเอียดของแคมเปญได้ชัดเจน ตั้งแต่การวัด CTR, Conversion Rate, ไปจนถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้ ทั้งนี้ การตั้งค่า UTM ให้ถูกต้อง การใช้บริการย่อลิงค์ที่เชื่อถือได้ และการเชื่อมต่อกับ Pixel/Analytics platform ต่าง ๆ คือหัวใจหลักที่ช่วยให้ทีมปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่การสร้างการรับรู้แบรนด์และเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน